วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2553

เด็กไทยใช้ภาษาสุดเพื้อน

ชี้เด็กไทยใช้ภาษาไทยสุดเพี้ยน

โพลวธ.ชี้ เฟซบุค-ทวิตเตอร์-บีบี ทำเด็กใช้ภาษาไทยสุดเพี้ยน "นิพิฎฐ์" เตรียมรณรงค์ให้เด็กหันมาเขียนจดหมาย

นายวีระ โรจน์พจนรัตน์ ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เปิดเผยว่า เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ 29 ก.ค.นี้ วธ.ได้จัดทำผลการสำรวจความคิดเห็น หรือ โพลวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปี 2553 จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 6,592 คน อายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไป ผลปรากฏว่า ร้อยละ 55.35 ทราบมาก่อนว่าวันภาษาไทยแห่งชาติตรงกับวันที่ 29 ก.ค. รองลงมา ร้อยละ 28.08 ไม่ทราบ และ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 16.57 อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 41.25 ทราบว่าวัตถุประสงค์หนึ่งที่กำหนดวันที่ 29 ก.ค.เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์และนักภาษาไทย และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงห่วงใยและพระราชทานแนวคิดเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย ในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 29 ก.ค. 2505 ร้อยละ 35.63 ไม่ทราบ และร้อยละ 23.12 ไม่แน่ใจ
ร้อยละ 77.70 คิดว่าผู้ที่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง คือ ครูอาจารย์ รองลงมา คือ พ่อแม่/ผู้ปกครอง ร้อยละ 60.89 ผู้ประกาศข่าวร้อยละ 52.99 พิธีกรรายการโทรทัศน์ร้อยละ 37.23 ดารา/นักแสดงร้อยละ 31.37 ผู้ดำเนินรายการวิทยุ/ดีเจ ร้อยละ 27.64 นักร้องร้อยละ 25.02 และ นักการเมืองร้อยละ 22.12 ตามลำดับ ร้อยละ 60.30 ไม่เห็นด้วยกับประเด็น "การพูดภาษาไทยปนภาษาอังกฤษ หรือพูดมีสำเนียงฝรั่งเป็นการแสดงถึงการมีความรู้หรือความทันสมัย ร้อยละ 34.50 ไม่เห็นด้วยกับประเด็น “ไม่จำเป็นต้องเขียนภาษาไทยในการสื่อสารผ่านมือถือ/อินเตอร์เน็ตให้ถูกต้อง เพราะทำให้เสียเวลา แค่สื่อสารกันรู้เรื่องก็พอแล้ว” ร้อยละ 38.70 ไม่เห็นด้วยกับประเด็น “การพูดภาษาไทยไม่ชัด เช่น คำควบกล้ำ เสียงวรรณยุกต์ ถือเป็นเรื่องปกติ” กลุ่ม

ตัวอย่างร้อยละ 36.20 ไม่เห็นด้วยกับประเด็น "การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง ควรใช้ในเรื่องที่เป็นทางการเท่านั้น”

ร้อยละ 62.60 มีความรักและภาคภูมิใจในความเป็นคนไทยที่มีภาษาเป็นของตนเองอยู่ในระดับมาก ร้อยละ 37 คิดว่า ปัญหาการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน อยู่ในระดับค่อนข้างมาก กลุ่มตัวอย่างที่เสนอให้ วธ. ควรรณรงค์ หรือจัดกิจกรรมในวันภาษาไทยแห่งชาติ ตามลำดับดังนี้ ร้อยละ 43.92 กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์และนักภาษาไทยร้อยละ 28.37 ยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องและองค์กรที่ส่งเสริมสนับสนุน อนุรักษ์ภาษาไทย ร้อยละ 27.96 จัดกิจกรรมที่เพิ่มพูนประสิทธิภาพการใช้ภาษาไทย และร้อยละ 0.74 อื่น ๆ เช่น จัดอบรมหรือประชุมสัมมนาครูผู้สอนวิชา ภาษาไทย หรือจัดกิจกรรมเพื่ออนุรักษ์ภาษาพื้นเมือง เป็นต้น

นายพินิฏฐ์ กล่าวว่า ตนมีนโยบายในการรณรงค์ให้คนไทยใช้ภาษาไทยให้ถูกต้อง แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีสื่อสารมีความทันสมัย เด็กเขียนภาษาไทยผ่านแต่ในเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ โทรศัพท์ บีบี ทำให้บางคำผิดเพี้ยนได้ง่าย ทุกวันนี้เด็กไม่เขียนจดหมายถึงกันแล้ว ดังนั้นอยากรณรงค์ให้เด็กหันมาเขียนจดหมายเป็นภาษาไทยที่ถูกต้องกันมากขึ้น นอกจากนี้เรื่องภาษาถิ่นก็น่าเป็นห่วง คิดว่าจะต้องเริ่มที่ครอบครัวเป็นหลัก อยู่บ้านควรจะพูดคุยกันด้วยภาษาถิ่น จะทำให้เด็กได้ 2 ภาษา คือ ภาษาท้องถิ่นและภาษากลาง

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า

ผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่า

ผลกระทบจากการทำลายป่าไม้จากการที่ปริมาณป่าไม้ลดลงย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพ และมีผลต่อปัจจัยทางชีวภาพ มีผลกระทบต่อ สภาพดิน น้ำ อากาศ สัตว์ป่า สิ่งแวดล้อมอื่นๆ เพราะทั้ง ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จะมีความสัมพันธ์กันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ในระบบนิเวศ ก่อให้เกิดสมดุลทางธรรมชาติ การทำลายป่าจึงก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ดังนี้1. เกิดการชะล้างพังทลายของดิน ป่าที่ถูกทำลายจะทำให้ไม่มีต้นไม้ วัชพืช หญ้าปกคลุมดิน เมื่อฝนตกลงมาน้ำฝนจะกัดเซาะหน้าดินที่อุดมสมบูรณ์ให้ไหลไปกับกระแสน้ำ


2. เกิดน้ำท่วมในฤดูฝน บริเวณป่าที่ถูกทำลายจะไม่มีต้นไม้ วัชพืช และหญ้าที่ปกคลุมหน้าดินช่วยดูดซับน้ำฝน ไว้ ทำให้น้ำไหลบ่าจากที่สูงอย่างรุนแรง และมีปริมาณมากทำให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ ตอนล่างอย่างฉับพลัน






3. เกิดความแห้งแล้งในฤดูแล้ง การทำลายป่าไม้ ต้นน้ำลำธารทำให้ป่าไม้ถูกตัด แยกออกเป็นส่วนๆ เกิดการระเหยของน้ำจากผิว ดินสูง แต่การซึม ผ่านผิวดินต่ำ ดินดูดซับและเก็บ น้ำไว้ได้น้อย ส่งผลให้น้ำไหลลงสู่ลำธารน้อยเกิด ความแห้งแล้งในฤดู





4. เกิดปัญหาโลกร้อนขึ้น เนื่องจากป่าไม้เป็นแหล่งของการหมุนเวียนสาร ระหว่างออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ น้ำและสารอื่นๆ ในระบบนิเวศที่ สำคัญ การทำลายป่ามีส่วนทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในบรรยากาศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้อุณหภูมิของโลกสูง

5. คุณภาพของน้ำเสื่อมลง เมื่อฝนตกในบริเวณป่าไม้ที่ถูกทำลายก็จะพัดพาเอาดินโคลน ตะกอนลงสู่ แหล่งน้ำทำให้น้ำขุ่นและเกิดการตื้นเขินส่งผล ให้คุณภาพน้ำทั้งทางด้าน กายภาพ ชีวภาพ และเคมีด้อยลง ไม่สามารถใช้น้ำในการอุปโภค บริโภค ได้
6. พืชและสัตว์ป่ามีจำนวนและชนิดลดลง ป่าไม้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของ พืชและสัตว์ป่า การตัดไม้ทำลายป่าเป็น การทำลายแหล่งอาหาร ที่อยู่อาศัย และความหลากหลายทางชีวภาพ ทำให้พืชและสัตว์ป่าหลายชนิดมีปริมาณ ลดลงจนเกือบสูญพันธ์

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

ดอกหน้าวัว

ดอกหน้าวัว

ชื่อสามัญ Anthurium ชื่อวิทยาศาสตร์ Anthurium andraeanum
ตระกูล Araceae (arum)
ถิ่นกำเนิด โคลัมเบีย

ลักษณะทั่วไป
หน้าวัวเป็นไม้พุ่มเตี้ยใช้ปลูกคลุมดิน มีอายุหลายปี เติบโตเป็นต้นเดี่ยวหรืแตกกอ ลำต้นสั้นหรืยืดยาวคล้ายไม้เลื้อยและทิ้งใบช่วงล่างของต้นพร้อมทั้งเกิดรากใหม่ที่บริเวณ เป็นไม้ตัดดอกที่มีรูปร่างแปลกตา สีสันสดสวย ออกดอกได้ตลอดปี ใบของหน้าวัวมีแตกต่างกันไปหลายแบบ เช่น รูปหัวใจ รูปใบหอก รูปสามเหลี่ยม หรือใบประกอบแบบนิ้วมือใบแตกออกจากลำต้นเรียงเวียนสลับกัน ขนาดและสีต่างกันไปตามชนิดและพันธุ์ดอกของหน้าวัวเกิดจากตาดอกที่ซอกใบ ปกติตาดอกและใบอ่อนจะเกิดพร้อมกัน แต่ตาดอกจะพัฒนาขึ้นมาหลังจากใบแก่สมบูรณ์แล้ว ดังนั้นต้นที่โตเร็วจึงมักจะให้ดอกดก ดอกหน้าวัวมีสวนประกอบด้วยช่อดอกที่เรียกว่าปลี อาจมีสีขาว เหลืองหรือขาวปลายสีเหลือง และจานลองดอกหรือที่เรียกว่าดอกนั้นเองจานลองดอกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าใบประดับ มีลักษณะคล้ายใบติดที่โคนปลีหน้าวัวที่มีดอกสีสวยสะดุดตานี้ สีของจานรองดอกมีหลากสี เช่น ขาว เขียว ชมพู ส้ม แดงม่วง หรือมีหลายสีปนกัน อาจเรียบหรือย่นเป็นร่องชึ่งมีคำเรียกเฉพาะว่าร่องน้ำตาซึ่งอาจตื้นลึกต่างกันไปตามพันธุ์

การขยายพันธ์
การเพาะเมล็ด
นิยมใช้เพื่อการปรับปรุงพันธุ์หรือเพื่อผลิตลูกผสมที่มีลักษณะต่างไปจากพ่อ-แม่พันธุ์เท่านั้น ซึ่งอาจใช้เวลานานถึง 3 ปี ต้นจึงจะให้ดอก การเพาะเมล็ดพันธุ์ควรทำทันทีหลังจาก เก็บผล เพราะเมล็ดหน้าวัว สูญเสียความงอกเร็วมาก

การตัดชำยอด
จะทำเมื่อต้นมีความสูงกว่าวัสดุปลูกเกิน 60 เซนติเมตร โดยตัดยอดให้ใบติดอยู่ 3 - 5 ใบ และมีราก2 - 3 ราก ทาแผลที่เกิดจากรอยตัดด้วยยาป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นนำยอดไปปักชำในที่ร่มและมีความชื้นสูง เมื่อมียอดใหม่และรากงอกแล้วจึงย้ายไปปลูกตามปกติ

การแยกหน่อหรือตัดหน่อ
นิยมทำหลังจากที่ตัดยอดชำแล้ว ต้นตอที่ถูกตัดยอดแล้วจะมีหน่อใหม่เกิดขึ้น สามารถตัดแยกหน่อไปปลูกได้ โดยหน่อนั้นควรเป็นหน่อที่มีขนาดใหญ่และมีราก 2 - 3 รากแล้ว

การปักชำต้น
ใช้กับต้นขนาดใหญ่ที่มีอายุมากและถูกตัดยอดไปชำแล้ว โดยตัดต้นเป็นท่อน แต่ละท่อนให้มีข้อ 2 - 3 ข้อนำไปปักชำในทรายหรืออิฐทุบก้อนเล็กๆ ความชื้นสูง แต่ไม่แฉาะ ควรปักชำให้ยอดทำมุมประมาณ 30 - 40 องศา วิธีนี้ใช้เวลานานและต้นใหม่ที่ได้มักไม่แข็งแรงจึงไม่ค่อยนิยมกันนักกาเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
เป็นวิธีที่ใช้เมื่อต้องการต้นจำนวนมากในระยะเวลาสั้น นิยมใช้กับพันธุ์ที่ผลิตเพื่อการค้า

การปลูก
หน้าวัวจะเติบโตได้ดีในสภาพที่มีความชื้นสูงแสงรำไรและมีลมพัดผ่านไม่แรงนักสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึงคือปริมาณแสง แดดที่ต้นได้รับเพราะแสงแดดมากเกินไปจะทำให้ใบเหลือง สีดอกซีดและเป็นรอยไหม้ แต่ถ้าได้รับแสงน้อยเกินไปจะทำให้ใบมีสีเขียวเข็ม ออกดอกน้อย ปริมาณแสงที่เหมาะสมคือประมาณ 20 - 30 % จะทำให้ต้นออกดอกดก คุณภาพดอกดี วัสดุปลูก ที่นิยมใช้กันมากคือ อิฐมอญทุบ ถ่านกาบมะพร้าว ใบไม้ผุ กะลาปาล์มน้ำมัน การปลูกในกระถางส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 สวน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 สวน ทรายหยาบ 1 สวน

การดูแล
และฤดูหนาวชึ่งความชื้นในอากาศมีน้อย ควรรดน้ำเพิ่มในช่วงบ่ายด้วย สวนการให้ปุ๋ยนิยมให้ปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยเคมีละลายน้ำเช่น สูตร 10-10-30 , 17-34-17, 16-21-27 ฉีดพ่นทางใบหรือรดที่โคนต้นก็ได้อาจเสริถ้าปลูกในบ้านหรือาคารสำนักงานควรรดน้ำวันละ 2 ครั้งในต้อนเช้าและตอนเย็นส่วนในช่วงฤดูร้อนมด้วยกระดูกป่นเล็กน้อย 2 - 3 ครั้งต่อเดือน

การปลูกเลี้ยงหน้าวัวให้ได้ต้นที่สมบูรณ์และให้ดอกสม่ำเสมอนั้นต้องมีการตัดแต่งต้นตัดใบและดอกที่แก่หรือเป็นโรคทิ้ง ไม่ควรปล่อยให้ต้นมีใบดกเกินไป เพราะจะทำให้การถ่ายเทอากาศบริเวณโคนต้นไม่ดี เป็นแหล่งสะสมโรคควรตัดใบให้เหลือ 3 - 4 ใบต่อยอดทุกปี

โรคใบจุดหรือปลีจุด ระบาดมากในฤดูฝน เกิดจากเชื้อรา ทำให้ใบเป็นจุดแห้งหรือปลีเป็นสีน้ำตาล นิยมใช้มาเน็บ(manab) หรือคาร์เบนดาซิม (carbendazim) ฉีดพ่นเมื่อละบาด

โรคใบไหม้ ระบาดมากในช่วงฤดูฝนเกิดจากเชื้อราทำให้ใบมีจุดสีเขียวหม่นลักษณะช้ำหรือไหม้อาจขยายเป็นแผลขนาดใหญ่จนเน่าแลและแห้งในที่สุด ทำลลายดอกและหน่ออ่อน ควรฉีดพ่นด้วยแคงเกอร์เอ๊กซ์หรือสเตรปสลับกับยาโคไซด์และโคแมกซ์

โรครากเน่า จะเกิดเมื่อวัสดุปลูกระบายน้ำไม่ดีและไม่สะอาด เชื้อโรคจึงเข้าทำลายได้ง่าย เมื่อพบต้นที่แสดงอาการเป็นโรค ต้องนำไปเผาทำลายทิ้งเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่ หรือราดแปลงปลูกด้วยสารป้องกันกำจัดเชื้อรา

โรคใบด่าง เกิดจากเชื้อไวรัส ทำให้ใบและดอกมีลักษณะหนาและด้าน มีขนาดเล็ก รูปทรงผิดธรรมชาติ เมื่อพบต้นเป็นโรค ต้องนำไปเผาทิ้งทำลายทันที นอกจากนี้อาจพบแมลงศัตรูพวกเพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ ไรขาว ไรแดง ซึ่งระบาดมากในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนหนอนกินใบ แมงมุมหอยทาก หนู และกระรอก ที่มักทำความเสียหายให้กับดอกหน้าวัวมากควรหมั่นตรวจดูแอยู่เสมอ






วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

โรคภูมิแพ้

โรคภูมิแพ้

ในปัจจุบันมีประชากรเป็นโรคภูมิแพ้กันมากขึ้น เพื่อให้สาระความรู้กับประชาชนให้มีความเข้าใจในโรคนี้ จึงได้รวบรวมจากคำถามที่คนไข้มักถามแพทย์เป็นประจำ
โรคภูมิแพ้คืออะไร
โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายได้รับสารบางอย่าง และร่างกายผู้นั้นตอบสนองผิดไปจากคนทั่วไป ทำให้เกิดโรคและอาการต่าง ๆ ขึ้น เช่น คนทั่วไปที่สูดฝุ่นละอองภายในบ้าน ซึ่งมีไรฝุ่นจะไม่เกิดอาการผิดปกติ แต่ถ้าผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ สูดเอาฝุ่นละอองเข้าไปจะเกิดอาการน้ำมูกไหล คันจมูก คันตา หรือมีอาการหอบเกิดขึ้น
โรคภูมิแพ้มีหลายโรค
โรคภูมิแพ้มีหลายโรค เกิดขึ้นได้หลายระบบ เช่น
1. เกิดขึ้นในระบบการหายใจ มีอาการได้ตั้งแต่น้ำมูกไหล จาม คันจมูก คัดจมูก (คนทั่วไปมักเรียกโรคแพ้อากาศ) หรืออาจมีอาการรุนแรง เช่น ไอ มีเสมหะมาก มีอาการหอบ ซึ่งเป็นอาการของโรคหืด บางคนอาจเป็นทั้งโรคหืดและโรคแพ้อากาศ สาเหตุของโรคภูมิแพ้ของระบบการหายใจนี้ ส่วนมากเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ในอากาศ สำหรับสาเหตุที่เกิดกับคนไทยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากไรฝุ่นในบ้านเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด รองลงมาได้แก่เศษและขี้แมลงสาบ ขนและรังแคสัตว์เลี้ยง เช่น แมว สุนัข หรือเกสรพืช หรือเชื้อราในอากาศ
สำหรับในเด็กเล็ก ๆ อาหารอาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ของระบบการหายใจได้เช่นเดียวกัน เช่น แพ้นมวัว ไข่ เป็นต้น
2. เกิดขึ้นที่ผิวหนัง เช่น อาการลมพิษ หรือผื่นภูมิแพ้ในเด็ก หรือผื่นแพ้จากการสัมผัส สาเหตุใหญ่ของลมพิษมักเป็นอาหารและยา ส่วนผืนภูมิแพ้ในเด็กมักเกิดขึ้นเองในเด็กที่มีแนวโน้มในการเกิด เช่น มีกรรมพันธุ์ของโรคภูมิแพ้ในครอบครัว อาหาร เช่น นม ไข่ อาจทำให้เกิดอาการผื่น ซึ่งมักเกิดบริเวณแก้มเด็กเล็ก หรือข้อพับในเด็กโต
3. เกิดขึ้นในระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ อาการปวดท้อง อาเจียน ท้องร่วง สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้อาหาร
4. เกิดขึ้นในหลายระบบและรุนแรง ผู้ป่วยบางรายมีอาการแพ้มาก อาจมีอาการเกิดขึ้นในทุกระบบ เช่น หอบ ลมพิษ ช็อค หรืออาจรุนแรงจนเสียชีวิตภายหลังจากกินอาหารบางชนิด เช่น กุ้ง ถั่วลิสง ฯลฯ หรือภายหลังได้รับยา เช่น เพนนิซิลลิน


ปัจจุบันโรคภูมิแพ้พบมากขึ้นทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย อุบัติการของโรคหืดสำหรับผู้ใหญ่ในคนไทยที่เคยสำรวจเมื่อ 20 กว่าปีก่อน พบประมาณร้อยละ 2.5 สำหรับในเด็กเมื่อ 10 ปีก่อน พบว่าเด็กในกรุงเทพมหานคร เป็นโรคหืดร้อยละ 4.2 ในปัจจุบันพบเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 13 สำหรับโรคแพ้อากาศ จากการสำรวจในผู้ใหญ่และเด็ก พบประมาณร้อยละ 20 และมีแนวโน้มจะพบสูงขึ้นในปัจจุบัน
ส่วนผื่นแพ้ทางผิวหนังที่พบบ่อยในเด็ก มีอุบัติการไม่เพิ่มขึ้นมากนัก พบประมาณร้อยละ 10-15
การที่พบโรคภูมิแพ้ของระบบการหายใจเพิ่มขึ้นในประเทศไทยก็เพราะวิถีของคนไทยเปลี่ยนไป ประชากรมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อยู่กันอย่างแออัด บ้านเรือนจากเดิมที่มีลักษณะโปร่ง โล่ง มีการถ่ายเทอากาศดี เปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตกมากขึ้น มีเพดานเตี้ย ประดับประดาไปด้วยเครื่องเรือน ปิดหน้าต่างตลอดเวลา เปิดเครื่องปรับอากาศ ภายในห้องนอนมีพรมซึ่งมีไรฝุ่นมาก มีต้นไม้ประดับ ซึ่งมีเชื้อรา นิยมเลี้ยงสุนัข แมวในบ้าน บางคนถึงกับเอาไปนอนด้วย สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสารก่อภูมิแพ้ทั้งสิ้น คนก็ได้แต่สูดเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา ยิ่งกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิแพ้ขึ้น
ปัจจุบันนี้ยังมีปัจจัยอื่นมาร่วมด้วย เช่น มลพิษในอากาศ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกซด์ ฝุ่นละอองตามถนน ควันจากท่อรถยนต์ และจากโรงงานอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีควันบุหรี่ การติดเชื้อ เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยทำให้อุบัติการของโรคภูมิแพ้ในปัจจุบันเพิ่มมากขึ้น
โรคภูมิแพ้มีสาเหตุจากอะไร ?
สาเหตุที่สำคัญมีอยู่ 2 ประการ
1. กรรมพันธุ์ โรคภูมิแพ้หลายโรคจะเกิดขึ้นได้ง่าย ถ้ามีพันธุกรรม เช่น โรคหืด โรคแพ้อากาศ และผื่นภูมิแพ้ในเด็ก ยิ่งถ้ามีประวัติว่าทั้งพ่อและแม่เป็น จะยิ่งมีโอกาสมากกว่าพ่อหรือแม่เป็นฝ่ายเดียว
โรคภูมิแพ้บางอย่าง สาเหตุจากพันธุกรรมไม่ค่อยเป็นปัจจัยสำคัญมากนัก เช่น ลมพิษ แพ้อาหาร แพ้ยา หรือแพ้จากการสัมผัส เช่น แพ้เครื่องประดับ แพ้เครื่องสำอาง เป็นต้น


2. สิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยสำคัญมาก เพราะสารก่อภูมิแพ้ที่จะเข้าร่างกาย เราเกิดจากสิ่งแวดล้อมทั้งสิ้น ไม่ว่าสารก่อภูมิแพ้ที่เข้าร่างกายโดยการหายใจ หรือจากการรับประทาน หรือจากการสัมผัส สารก่อภูมิแพ้บางอย่างสังเกตได้ง่าย เช่น อาหาร หลังจากการรับประทานอาหารทะเล อาจเป็นลมพิษภายในเวลาครึ่งชั่วโมง หรือกินยาแล้วมีผื่นขึ้น ผู้ป่วยกวาดบ้าน เล่นกับแมว หรือสุนัขแล้วเกิดอาการจาม คัดจมูกหรือหอบ สารก่อภูมิแพ้บางอย่างสังเกตได้ยาก เพราะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เช่น เกสรหรือเชื้อราในอากาศ หรือไรฝุ่นในบ้าน ซึ่งมีมากตามที่นอน หมอน โซฟา ห้องรับแขก พรม ฯลฯ


นอกจากนี้ยังมีปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดอาการของโรคภูมิแพ้ได้ง่ายขึ้นหรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น อากาศหนาว อากาศเปลี่ยน มลพิษในอากาศจากควันรถ ควันโรงงานอุตสาหกรรม ฝุ่นละอองตามท้องถนน ภายในบ้านหรือในสำนักงาน ก็มีควันบุหรี่เป็นตัวการ

มีอาการอย่างไร จึงสงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้แสดงอาการได้หลายระบบ เช่น
- ระบบการหายใจ ตั้งแต่จาม คันจมูก น้ำมูกไหล คัดจมูก คันตา คันคอ หรือไอเรื้อรัง มีเสมหะ มีอาการหอบเหนื่อย หายใจเสียงดังวี๊ด ๆ อาการดังกล่าวอาจเป็น ๆ หาย ๆ อาจมีอาการเป็นตามฤดูกาล หรือเป็นเกือบตลอดทั้งปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและสาเหตุ
- ระบบผิวหนัง อาจแสดงเป็นลมพิษ ผื่นคันตามข้อพับ ในเด็กเล็กอาจมีผื่นแดงบริเวณแก้ม
- ระบบทางเดินอาหาร ตั้งแต่คลื่นไส้ อาเจียน อุจจาระร่วง ปวดท้อง
- แสดงอาการทุกระบบ ในคนไข้แพ้มาก อาจมีอาการทั้งหอบ หายใจลำบาก ลมพิษขึ้น ช็อค หรืออาจเสียชีวิต
จัดทำโฮมเพจโดย : สำนักบริการคอมพิวเตอร์, 11 กุมภาพันธ์ 2548

โรคที่มากับน้ำท่วม

โรคที่มากับน้ำท่วม


โรคที่มากับน้ำท่วม โรคติดต่อที่พบบ่อยในช่วงน้ำท่วม และหลังน้ำท่วม ได้แก่ โรคผิวหนัง โรคระบบทางเดินหายใจ โรคตาแดง โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร โรคฉี่หนู โรคไข้เลือดออก โรคหัด และโรคไข้มาลาเรีย โรคเหล่านี้ที่สำคัญคือ เชื้อแพร่มากับน้ำ รวมทั้งอาหารที่ไม่สะอาด โดยเฉพาะผู้ที่มีบาดแผล เช่นแผลจากน้ำกัดเท้า พวกนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ จะมีโอกาสติดเชื้อโรคฉี่หนู หรือเล็ปโตสไปโรสิสได้ง่าย เชื้อเล็ปโตสามารถเข้าทางบาดแผลได้เก่งมากครับ เนื่องจากมีความสามารถในการชอนไช


วิธีป้องกันต้องสวมรองเท้าบู๊ต ป้องกันน้ำถูกแผล และอย่าเดินลุยน้ำสกปรก ซึ่งถ้าจำเป็นต้องลุยน้ำ ก็ต้องล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดทุกครั้ง หน่วยสุขศึกษาเคลื่อนที่ ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันตัวเอง ถือเป็นมาตราการเชิงรุกที่ได้ผลดีอย่างหนึ่ง โรคที่มากับน้ำท่วม มหันตภัยที่แฝงมาทำร้ายผู้คนพร้อมกับน้ำท่วมมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ โรคน้ำกัดเท้า และผื่นคัน ไข้หวัด โรคเครียดวิตกกังวล โรคตาแดง โรคอุจจาระร่วง และสัตว์มีพิษกัด โรคน้ำกัดเท้า และผื่นคัน

โรคผิวหนัง
1. โรคผิวหนังที่พบบ่อย ได้แก่ โรคน้ำกัดเท้าจากเชื้อรา แผลพุพองเป็นหนอง เป็นต้น ซึ่งเกิดจากการย่ำน้ำหรือแช่น้ำที่มีเชื้อโรค หรือความอับชื้นจากเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่ไม่สะอาด ไม่แห้งเป็นเวลานาน
2. ในระยะแรกอาจมีอาการเท้าเปื่อย และเป็นหนอง ต่อมาเริ่มมีอาการคันตามซอกนิ้วเท้า และผิวหนังลอกออกเป็นขุย มีผื่น ระยะหลังๆผิวหนังที่เท้าเกิดพุพอง นิ้วเท้าหนาและแตก อาจเกิดโรคแทรกซ้อน คือ ผิวหนังอักเสบได้
3. ป้องกันได้โดยหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องย่ำน้ำ ควรใส่รองเท้าบู๊ทกันน้ำ และควรล้างเท้าให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ และเช็ดให้แห้งเมื่อกลับเข้าบ้าน สวมใส่ถุงเท้า รองเท้า และเสื้อผ้าที่สะอาดไม่เปียกชื้น หากมีบาดแผล ควรใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผล แล้วทาด้วยยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์ หรือเบตาดีน
โรคน้ำกัดเท้า และผื่นคัน โรคน้ำกัดเท้า หรือฮ่องกงฟุต จะมีอาการคันจากเชื้อราที่มาจากการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานจนทำให้ราร้ายตัวนี้เจริญเติบโตไปตามซอกนิ้วเท้า โดยเชื้อราจะทำให้ผิวหนังลอกเป็นขุย เกิดผื่นที่เท้าผิวหนังที่เท้าเกิดพุพอง นิ้วเท้าหนา พบบ่อยที่ซอกนิ้ว แต่อาจลุกลามไปถึงฝ่าเท้า และเล็บได้ การรักษา และป้องกันทำได้โดยล้างเท้าให้สะอาดด้วยสบู่ และเช็คให้แห้ง ใส่ถุงเท้าที่สะอาดไม่เปียกชื้น และไม่ใส่รองเท้าคู่เดิมทุกวัน


ไข้หวัด
1. เกิดจากเชื้อไวรัส ก่อโรคในบุคคลทุกเพศทุกวัย พบได้บ่อยในช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย โดยเชื้อโรคแพร่กระจายมาจากน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ หรือสิ่งของใช้ของผู้ป่วย
2. มักมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว มีไข้เล็กน้อย คัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ ไอ จาม ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร
3. หายได้เองภายใน 1 สัปดาห์
ไข้หวัด เกิดจากเชื้อไวรัสเข้าสู่จมูก และคอ จะทำให้เยื่อจมูกบวม และแดง มีการหลั่งของเมือกออกมา โดยผู้ที่เป็นไข้หวัดจะมีอาการจาม และน้ำมูกไหลนำมาก่อนอ่อนเพลียปวดศีรษะเล็กน้อย แต่มักไม่ค่อยมีไข้ บางรายอาจมีอาการปวดหู เยื่อแก้วหูมีเลือดคั่ง โรคมักเป็นไม่เกิน 2-5 วัน มีการระบาดหนักในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากความชื้นต่ำ และอากาศเย็น ติดต่อได้จากน้ำลาย และเสมหะผู้ป่วยให้พัก และดื่มน้ำมากๆ สิ่งที่สำคัญในการป้องกันคือดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงตลอดเวลา

ไข้หวัดใหญ่
1. เป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัส ทำให้เกิดโรคได้ในคนทุกเพศทุกวัย เชื้อจะแพร่กระจายอยู่ในลมหายใจ เสมหะ น้ำลาย น้ำมูก และสิ่งของใช้ของผู้ป่วย จึงมีโอกาสติดต่อกันได้ง่าย
2. มักมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัวมาก มีน้ำมูกไหล คัดจมูก ไอ จาม เจ็บคอ เบื่ออาหาร และอ่อนเพลีย
3. ผู้ป่วยควรใช้ผ้าปิดปาก และจมูกเวลาไอ จาม หรือควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค ใช้ผ้าเช็ดหน้า หรือกระดาษนุ่มสะอาด เช็ดน้ำมูก และไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะอาจทำให้เกิดหูอักเสบได้
4. กินอาหารที่อ่อนย่อยง่าย กินผักและผลไม้ ดื่มน้ำอุ่นมากๆ อาบน้ำหรือเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที
5. เมื่อไข้สูง หรือเป็นไข้นานเกิน 7 วัน เจ็บคอ ไอมาก เจ็บหน้าอก หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ควรไปพบหรือปรึกษาแพทย์
โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อจะฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อสูดลมหายใจเอาเชื้อเข้าไป จะไปเจริญอยู่ในลำคอ และเยื่อบุทางเดินหายใจของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะมีอาการตัวร้อน มีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3-4 วัน ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว น้ำมูกไหล คัดจมูก ไป จาม เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
การติดต่อ
ไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อได้ง่าย โดยการหายใจเอาเชื้อโรคที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศเข้าไป การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม ละอองน้ำมูก เสมหะ และหายใจรดกัน การใช้สิ่งของต่างๆ ร่วมกับผู้ป่วย การนำมือที่สัมผัสเชื้อจากผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาขยี้ตา จับต้องจมูก ปาก ประกอบกับการที่มีสภาวะอากาศอับขึ้นและหนาวเย็น ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง จึงมีโอกาสติดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย
การป้องกัน
ล้างมือบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ก่อนกินอาหาร ก่อนและหลังเตรียม/ปรุงอาหารหลังการขับถ่าย หลังหยิบจับสิ่งสกปรก หลังสัมผัสผู้ป่วย หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง และทุกครั้งที่กลับจากนอกบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้มือที่ไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก ปาก หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย และอยู่ในสถานที่มีคนอยู่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
การปฏิบัติ
1.ใช้ผ้าสะอาดปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอ จาม และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน การแพร่กระจายของเชื้อโรค และใช้ผ้าสะอาด หรือทิชชูนุ่มๆ เช็ดน้ำมูก ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ จะทำให้เกิดการอักเสบในหูได้
2.เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นแทนการอาบน้ำ แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที ไม่ควรอาบน้ำเย็นจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเป็นปอดบวมได้
3.กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย มีประโยชน์ต่อร่างกาย และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุกอุ่นๆ บ่อยๆ ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
4.ล้างมือให้เป็นนิสัย
5.หากมีไข้สูงนานเกิน 7 วัน เจ็บหน้าอก หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ รวมทั้งผู้ป่วยที่มีไข้สูง และมีประวัติ การสัมผัสสัตว์ปีก ควรรีบไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อมูล การสัมผัสสัตว์ปีก เพราะอาจได้รับเชื้อโรคไข้หวัดนกได้
โรคปอดบวม
1.เกิดจากเชื้อได้หลายชนิด เช่น แบคทีเรีย ไวรัส หรือสำลักสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในปอด ทำให้มีการอักเสบของปอด ผู้ประสบภัยน้ำท่วม หากมีการสำลักน้ำ หรือสิ่งสกปรกต่างๆ เข้าไปในปอด ก็มีโอกาสเป็นโรคปอดบวมได้
2.ติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อโรคในอากาศเข้าไป หรือจากการคลุกคลีกับผู้ป่วยเมื่อ ไอ จาม หรือหายใจรดกัน หรือในผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ อ่อนแอ พิการ มักพบเกิดจากการสำลักเอาเชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ปกติในจมูกและลำคอเข้าไปในปอด
3.มีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบและเร็ว ถ้าเป็นมากจะหายใจหอบเหนื่อยจนเห็นชายโครงบุ๋ม เล็บมือ เล็บเท้า ริมฝีปากซีด หรือเขียวคล้ำ กระสับกระส่าย หรือซึม
4.เมื่อมีอาการสงสัยว่าเป็นโรคปอดบวม ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที โรคแทรกซ้อนที่อาจเกิดได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เช่น น้ำในช่องเยื่อหุ้มปอด, หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด, ปอดแตกและมีลมรั่วในช่องปอด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ในผู้ป่วยมีโรคหัวใจอยู่ก่อนอาจหัวใจวายได้

โรคเครียดวิตกกังวล โรคเครียดเป็นสิ่งที่คนเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ป้องกันไม่ให้ร่างกายอ่อนแอลง เพราะความเครียดได้ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อย่าพึ่งสารอาหารใดสารอาหารหนึ่งเพื่อลดความเครียดเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำพยายามออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และรู้จักผ่อนคลาย

โรคตาแดง
1.โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายรุนแรง เพราะส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส แต่ถ้าไม่รับการรักษาตั้งแต่เริ่มเป็น อาจติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
2.ติดต่อจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย ได้แก่ การสัมผัสโดยตรงกับน้ำตา ขี้ตา น้ำมูกของผู้ป่วย หรือจากใช้สิ่งของเครื่องใช้ร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว หรือจากแมลงวันแมลงหวี่ตอมตา
3.หลังได้รับเชื้อประมาณ 1-2 วัน จะเริ่มมีอาการระคายเคืองตา ปวดตา น้ำตาไหล กลัวแสง มีขี้ตามาก หนังตาบวม เยื่อบุตาขาวอักเสบแดง โดยอาจเริ่มที่ตาข้างหนึ่งก่อน แล้วจึงลามไปตาอีกข้าง
4.ผู้ป่วยมักหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดูแลรักษาให้ถูกวิธี อาจเกิดอาการแทรกซ้อน เช่น กระจกตาดำอักเสบ ทำให้ปวดตา ตามัว
5.โรคตาแดงเกิดจากการติดเชื้อไวรัส adenovirus, enterovirus และ coxsackie virus A24 ส่วนใหญ่จะติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำตาของผู้ป่วยที่ติดมากับนิ้วมือ และแพร่จากนิ้วมือมาติดที่ตาโดยตรง ไม่ติดต่อจากการสบตา จ้องตา ไม่ติดต่อทางอากาศ หรือการรับประทานอาหารร่วมกัน อาการเกิดได้ภายใน 1-2 วัน ระยะการติดต่อไปยังผู้อื่นประมาณ 14 วัน
6.การศึกษาระบาดวิทยาโมเลกุล พบว่าเกิดจากเชื้ออะดีโนไวรัส 3 ชนิดในสัดส่วนดังนี้ HAdV-8 พบมากที่สุดร้อยละ 80 ส่วนชนิด HAdV-3 และ HAdV-37 พบเท่าๆ กัน อย่างละประมาณร้อยละ 10 ของทั้งหมด โดยศึกษาด้วยวิธีวิเคราะห์รหัสพันธุกรรมของไวรัส

โรคตาแดง เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตาที่ติดเชื้อไวรัสติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำตา ของผู้ป่วยที่ติดมากับนิ้วมือ และแพร่จากนิ้วมือ อาการเกิดได้ ภายใน 1-2 วัน สามารถติดต่อได้ง่ายมาก โดยการคลุกคลีใกล้ชิด หรือสัมผัสกับผู้ป่วยใช้เสื้อผ้า หรือสิ่งของร่วมกับผู้ป่วย และไม่รักษาความสะอาดของร่างกาย โดยเฉพาะมือ และใบหน้า ผู้ป่วยโรคตาแดงจะมีอาการตาแดง เคืองตา ตาขาวจะมี สีแดงเรื่อๆ น้ำตาไหล เจ็บตา มักมีขี้ตามากจากการติดเชื้อแบคทีเรียมาพร้อมกัน การป้องกันทำได้โดยล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ให้สะอาดอยู่เสมอไม่คลุกคลีใกล้ชิด และหมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนให้สะอาดอยู่เสมอ
โรคติดเชื้อระบบทางเดินอาหาร
1.ได้แก่ โรคอุจจาระร่วง อหิวาตกโรค อาหารเป็นพิษ บิด ตับอักเสบเอ และไข้ทัยฟอยด์ เป็นต้น
2.เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายโดยการรับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป เช่น อาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ อาหารที่มีแมลงวันตอม อาหารที่ทิ้งค้างคืนโดยไม่ได้แช่เย็น และไม่ได้อุ่นให้ร้อนที่อุณหภูมิอย่างน้อย 70 องศาเซลเซียส ก่อนรับประทานอาหาร
3.โรคอุจจาระร่วง มีอาการถ่ายอุจจาระเหลว หรือถ่ายเป็นน้ำ หรือถ่ายมีมูกเลือด อาจมีอาเจียนร่วมด้วย หากมีอาการรุนแรงโดยถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำซาวข้าว คราวละมากๆ เรียกว่า อหิวาตกโรค
4.อาหารเป็นพิษ มักมีอาการปวดท้อง ร่วมกับถ่ายอุจจาระเหลว คลื่นไส้ อาเจียน อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว
5.โรคบิด มีอาการสำคัญคือ ถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระมีมูก หรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องและมีปวดเบ่งร่วมด้วย บางคนอาจมีอาการเรื้อรัง
6.โรคไข้ทัยฟอยด์ หรือไข้รากสาดน้อย มีอาการสำคัญคือ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร อาจมีอาการท้องผูก หรือบางรายอาจท้องเสียได้

โรคอุจจาระร่วง จะมีการถ่ายอุจจาระเหลวจำนวนมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน หรือมูกปนเลือดอย่าง หรือถ่ายเป็นน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อวัน ทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ อาจทำให้ช๊อคหมดสติ โดยเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปรโตซัว และปรสิตหนอนพยาธิ ที่มากับการรับประทานอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่สะอาด การไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนการปรุงอาหาร และภาชนะสกปรก การรักษาเมื่อเริ่มมีอาการอุจจาระร่วงให้รีบผสมผงน้ำตาล เกลือแร่ดื่มทันที การป้องกันควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ ไม่มีแมลงวันตอม ดื่มน้ำต้มสุก หรือน้ำสะอาด ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงอาหาร หรือก่อนรับประทานอาหาร และควรถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
โรคข้างต้นเป็นห้าโรคร้ายที่เมื่อเกิดน้ำท่วมผู้ประสบอุทกภัยต้องป้องกันให้ดีไม่เช่นนั้นอาจถูกมันทำร้ายได้
โรคอุจจาระร่วง โรคอุจจาระร่วงหรือท้องเสีย หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเหลวมากกว่า วันละ 3 ครั้ง หรือถ่ายเป็นมูกปนเลือดเพียงครั้งเดียวเป็นอาการที่พบได้บ่อย และมีสาเหตุได้หลายประการ ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง และมักหายได้เอง ในเด็ก และคนชราอาจมีอาการรุนแรง ทำให้มีภาวะขาดน้ำ และขาดเกลือแร่ เป็นอันตรายถึงตายได้ นอกจากอาการถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายเหลว หรือถ่ายมีมูกปนเลือดแล้ว อาจมีอาการไข้ ปวดท้อง และอาเจียนร่วมด้วย

สาเหตุ
เกิดจากการกินอาหาร และดื่มน้ำที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค การกินอาหารที่ไม่สุก อาหารที่ตั้งทิ้งไว้นานๆ การไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนการเตรียมอาหารหรือปรุงอาหาร และก่อนกินอาหาร รวมทั้งการใช้ภาชนะที่ไม่สะอาดมีเชื้อโรคปนเปื้อนในการใส่อาหาร และตักอาหาร
การปฏิบัติ
ผู้ป่วยควรกินหรือดื่มของเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ และเกลือแร่ ได้แก่ สารละลายน้ำตาลเกลือแร่ โอ อาร์ เอส น้ำแกงจืด หรือน้ำข้าวใส่เกลือ ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์

การป้องกัน
1.ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสะอาด และสบู่ทุกครั้งก่อนเตรียม และปรุงอาหาร ก่อนกินอาหาร และหลังการขับถ่าย
2.ดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำต้มสุก น้ำที่ใส่คลอรีน หรือน้ำบรรจุขวด
3.เลือกกินอาหารที่สะอาด ปรุงสุกด้วยความร้อน และปรุงสุกใหม่ๆ
4.กำจัดสิ่งปฏิกูล ขยะมูลฝอย เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงวัน
โรคฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรสิส
1.โรคฉี่หนู เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน มีหนูเป็นตัวแพร่โรคที่สำคัญ เชื้อออกมากับปัสสาวะสัตว์แล้วปนเปื้อนอยู่ในน้ำท่วมขัง พื้น ดินที่ชื้นแฉะได้นาน
2.เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอก หรือไชเข้าเยื่อบุตา จมูก ปาก หรือผิวหนังที่แช่น้ำนาน หรืออาจติดเชื้อจากการรับประทานอาหารที่หนูฉี่รด
3.ช่วงน้ำท่วมมักจะเกิดการระบาดได้ในหลายพื้นที่ โรคนี้มักจะระบาดในพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขัง และช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคมากที่สุด ก็คือ ในช่วงน้ำลด เนื่องจากชาวบ้านต่างลุยน้ำ ย่ำโคลน เพื่อทำความสะอาดบ้านเรือนและไปทำนา ทำให้เกิดบาดแผลจากกระจก แก้ว ตะปู และของมีคมอื่นๆ บาดแผลที่เท้าเกิดขึ้นได้ง่ายมากครับ อีกอย่างหนึ่งก็มักจะมีปัญหาเรื่องเท้าเปื่อยจากน้ำกัดเท้า เชื้อเล็ปโตสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายดาย
4.มักเริ่มมีอาการหลังได้รับเชื้อประมาณ 4 -10 วัน โดยจะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ และปวดกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะน่องและโคนขา หรือปวดหลัง บางคนมีอาการตาแดง อาจมีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร หรือท้องเดิน หากมีอาการดังกล่าวหลังจากที่สัมผัสสัตว์ หรือลุยน้ำ ย่ำโคลน ต้องรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล หรือหน่วยแพทย์ในพื้นที่ทันที
5.ถ้าไม่รีบรักษา บางรายอาจมีจุดเลือดออกตามผิวหนัง ไอมีเลือดปน หรือตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะน้อย ซึม สับสน เนื่องจากเยื่อหุ้มสมองอักเสบ อาจมีกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเสียชีวิตได้
6.ป้องกันโดยสวมรองเท้าบู๊ทยางกันน้ำ หากต้องลุยน้ำ ย่ำโคลน โดยเฉพาะถ้ามีบาดแผล หลีกเลี่ยงการแช่น้ำ ย่ำโคลนนานๆ เมื่อขึ้นจากน้ำแล้วต้องรีบอาบชำระร่างกายให้สะอาดโดยเร็วที่สุด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกทันที และเก็บอาหารในภาชนะที่มิดชิด ดูแลที่พักให้สะอาด ไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของหนู เก็บกวาด ทิ้งขยะให้มิดชิดไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู
โรคไข้ฉี่หนู หรือโรคเลปโตสไปโรซีส เป็นโรคติดต่อที่ระบาดจากโรคของสัตว์มาสู่คน โดยเฉพาะหนู ติดต่อมาถึงคนได้โดยเชื้อจะออกมากับปัสสาวะหนูแล้วปนเปื้อนในแม่น้ำ ลำคลอง พื้นที่ที่มีน้ำขังหรือพื้นที่ขึ้นแฉะ
การติดต่อ
ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้ฉี่หนู ได้แก่ ผู้ที่ลุยน้ำ หรือแช่น้ำนานๆ ผู้ที่เดินลุยน้ำท่วม คนงานบ่อปลา ชาวสวน ชาวนา คนงานขุดลอกท่อระบายน้ำ เชื้อไข้ฉี่หนูสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ โดยการไชเข้าทางบาดแผล หรือเข้าทางเยื่อบุอ่อนๆ เช่น ง่ามมือ ง่ามเท้า ตา ขณะที่แช่น้ำ หรือการรับประทานอาหารที่ไม่สะอาดมีฉี่หนูปนเปื้อนในอาหารนั้นๆ
อาการหลังจากได้รับเชื้อโรคไข้ฉี่หนูประมาณ 3-10 วัน
1.จะเริ่มมีอาการไข้เฉียบพลัน เมื่อยกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะน่อง และโคนขา หรือปวดหลัง บางคนอาจมีตาแดง
2.อาจมีอาการเจ็บคอ เบื่ออาหาร ท้องเดิน
3.ถ้ามีอาการที่กล่าวมาหลังจากไปแช่น้ำ ย่ำโคลนมา 2-26 วัน (เฉลี่ย 10 วัน) ควรนึกถึงโรคนี้ไม่ควรหายามกินเอง ต้องรีบไปพบ แพทย์ที่โรงพยาบาล หรือหน่วยแพทย์ที่ออกมาให้บริการในพื้นที่
การป้องกัน
1.หลีกเลี่ยงการย่ำ หรือแช่น้ำ หรือโคลนนานๆ โดยเฉพาะเมื่อมีบาดแผลตามแขน ขา มือ เท้า
2.ถ้ามีความจำเป็นต้องย่ำหรือแช่น้ำ ควรสวมรองเท้าบู๊ท สวมถุงมือยาง
3.ชำระล้างร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณบาดแผลให้สะอาด หลังจากลุยน้ำ/ขึ้นจากน้ำ ทันที
4.ดูแลที่พักให้สะอาด ปราศจากสัตว์กัดแทะโดยเฉพาะหนู
5.เก็บกวาด ทิ้งขยะให้มิดชิดไม่ให้เป็นแหล่งอาหารของหนู
6.รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้วทันที หรือเก็บอาหารในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด
โรคไข้หวัดใหญ่ เกิดจากเชื้อไวรัส และเชื้อแบคทีเรีย โดยเชื้อจะฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อสูดลมหายใจเอาเชื้อเข้าไป จะไปเจริญอยู่ในลำคอ และเยื่อบุทางเดินหายใจของผู้ป่วย ผู้ป่วยจะมีอาการตัวร้อน มีไข้สูง 38-40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 3-4 วัน ปวดศีรษะมาก ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว น้ำมูกไหล คัดจมูก ไป จาม เจ็บคอ เบื่ออาหาร อ่อนเพลีย
การติดต่อ
ไข้หวัดใหญ่สามารถติดต่อได้ง่าย โดยการหายใจเอาเชื้อโรคที่ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศเข้าไป การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่มีอาการไอ จาม ละอองน้ำมูก เสมหะ และหายใจรดกัน การใช้สิ่งของต่างๆ ร่วมกับผู้ป่วย การนำมือที่สัมผัสเชื้อจากผู้ป่วย และสิ่งแวดล้อมต่างๆ มาขยี้ตา จับต้องจมูก ปาก ประกอบกับการที่มีสภาวะอากาศอับขึ้นและหนาวเย็น ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง จึงมีโอกาสติดโรคไข้หวัดใหญ่ได้ง่าย

การป้องกัน
ล้างมือบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ก่อนกินอาหาร ก่อนและหลังเตรียม/ปรุงอาหารหลังการขับถ่าย หลังหยิบจับสิ่งสกปรก หลังสัมผัสผู้ป่วย หรือสัมผัสสัตว์เลี้ยง และทุกครั้งที่กลับจากนอกบ้าน หลีกเลี่ยงการใช้มือที่ไม่ได้ล้างสัมผัสบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก ปาก หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดผู้ป่วย และอยู่ในสถานที่มีคนอยู่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก

การปฏิบัติ
1.ใช้ผ้าสะอาดปิดปาก ปิดจมูก เวลาไอ จาม และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกัน การแพร่กระจายของเชื้อโรค และใช้ผ้าสะอาด หรือทิชชูนุ่มๆ เช็ดน้ำมูก ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ จะทำให้เกิดการอักเสบในหูได้
2.เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นแทนการอาบน้ำ แล้วเช็ดตัวให้แห้งทันที ไม่ควรอาบน้ำเย็นจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเป็นปอดบวมได้
กินอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย มีประโยชน์ต่อร่างกาย และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุกอุ่นๆ บ่อยๆ ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ และนอนพักผ่อนให้เพียงพอ
3.ล้างมือให้เป็นนิสัย
4.หากมีไข้สูงนานเกิน 7 วัน เจ็บหน้าอก หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ รวมทั้งผู้ป่วยที่มีไข้สูง และมีประวัติ การสัมผัสสัตว์ปีก ควรรีบไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับข้อมูล การสัมผัสสัตว์ปีก เพราะอาจได้รับเชื้อโรคไข้หวัดนกได้
ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ




วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การระลึกถึงวันแม่

กลอนสำหรับวันแม่ปีนี้
พระคุณแม่ แท้จริง สุดยิ่งใหญ๋
จะหาไหน มาเทียบ เปรียบแม่ได้
แม่รักลูก ฟูมฟัก จากดวงใจ
รักจากใคร ก็มิแม้น มาแทนทัน
บรรจงกราบ แทบเท้า ของคุณแม่
ปิติแผ่ ซาบึ้ง จึงเอ่ยขาน
บทกวี ร้อยกรอง ด้วยกลอนกานท์
ก้มกราบกราน แม่เรา ทุกเช้าเย็น

เราเป็นลูกควรที่จะกรอบไหว้ท่าน เราควรนำพระองค์ท่านเป็นแบบอย่างที่ท่านเคารพสมเด็จย่าและดูแลสมเด็จย่าตลอดเวลา
ภาพที่พระองค์ท่านทรงเคารพสมเด็จย่า







ทั่งไปแสดงความรักกับคุณแม่








สัญลักษณ์วันแม่





วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เด็กไทยเจ๋ง!!! คว้าแชมป์ 'หุ่นยนต์กู้ภัยโลก'สมัยที่5

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัยไทย iRAP_PRO คว้าแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัยโลกเป็นสมัยที่ 5ในการแข่งขัน World Robocup Rescue 2010 ผลงานโดนใจ ต่างชาติยกนิ้ว









รายชื่อผู้คว้ารางวัลชนะเลิศ
1. นายคฑาวุฒิ อุชชิน
2. นายสุรเชษฐ์ อินเทียม
3. นายณัฐกร แซ่เอี้ยว
4. นายธีรวัฒน์ เบ็ญจวิไลยกุล
5. นายสุธี คำใจคง
6. นายภราดร ทับทิมแดง

ทั้งหมดเป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

ปัจจัยที่ทำให้ทีมไทย iRAP_PRO คว้าแชมป์โลกอีกครั้ง ทำสถิติ 5 ปีติดต่อกัน คือ การเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะหุ่นยนต์ที่บังคับด้วยมือ (Manual) 2 ตัว ที่ออกแบบให้สามารถข้ามเครื่องกีดขวางได้ในทุกสภาพผิว หมุนได้ 360 องศา มีแขนกลติดกล้องที่ยืดความยาวได้กว่า 1.5 เมตร ทำให้มีประสิทธิภาพค้นหาผู้ประสบภัยได้เหนือคู่แข่ง อีกทั้งยังมี censer ที่วัดอุณหภูมิค้นหาผู้ประสบภัยได้อย่างแม่นยำ ส่วนหุ่นยนต์อัตโนมัติ (Autonomous) 1 ตัว ใช้ระบบสายพานในการขับเคลื่อนเพื่อค้นหาผู้ประสบภัยได้ด้วยตัวเอง ซึ่งมีสมรรถนะไม่แพ้ทีมที่มีเทคโนโลยีสูงอย่างญี่ปุ่น และสวีเดน

ทุกท่านคิดไหมละค่ะว่าเด็กไทยของเราก็ไม่ได้ด้อยความสามารถกว่าเด็กต่างประเทศเลย ทั้งๆ ที่ประเทศของเราก็ยังมีปัญหาแต่ก็ไม่เป็นผลกระทบแม้แต่น้อย